อุปกรณ์อื่นๆ
\
1.PCI คืออะไรPCI ย่อมาจาก Peripheral Component Interconnection คือช่องเสียบอุปกรณ์ ต่าง ๆ อาทิ การ์ดเสียง การ์ด Network โมเด็มแบบ Internal แม้กระทั่งการ์จอ เพื่อให้อุปกรณ์ทำงานควบคู่ไปกับซีพียูได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง PCI มีความสามารถที่จะส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง โดยมีแบนด์วิดท์ (Band width) อยู่ที่ 32 บิต และ 64 บิต โดย PCI แบบ 64 บิตนี้เราจะเรียกว่า PCI-X โดยความเร็วในการส่งข้อมูลของ บัส 32 บิตนั้นสามารถทำความเร็วในการส่งข้อมูลได้ถึง 132 MB/Sec แต่ถ้าเป็นบัสขนาด 64 บิต เราจะได้ความเร็วอยู่ที่ 264MB/Sec ซึ่งเหมาะกับการใช้งานที่เกี่ยวกับกราฟฟิกที่ต้องการความละเอียดสูง
ผู้ที่คิดค้นและพัฒนา PCI (Peripheral Component Interconnection) ก็คือ INTEL ซึ่งได้มีการพัฒนา PCI มาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันนี้มีการพัฒนามาแล้ว 3 รุ่นด้วยกันคือ
1. PCI 2.0 ทำงานที่ความเร็ว 30-33MHz
2. PCI 2.1 สนับสนุนการทำงานที่ความเร็ว 66MHz
3. PCI 2.2 สนับสนุน slot ได้สูงถึง 5 slot และยังรองรับ PCI card แบบ Bus Master ซึ่งเป็นการส่งถ่ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่อพ่วงและหน่วยความจำโดยตรงนั่นเอง
ส่วน PCI Express ก็เป็นการพัฒนาเพิ่มเติมจาก PCI เพื่อมาทดแทนการใช้งาน AGP และ PCI BUS แบบเดิม โดยความสามารถของ PCI Express นั้นจะส่งข้อมูลได้เร็วถึง 250 MB/sec และความสามารถอีกอย่างหนึ่งของ PCI Express ก็คือการส่งข้อมูลแบบ 2 ทางพร้อมกัน (Full-Duplex)สูงถึง 500 MB/sec ซึ่งจะแตกต่างจากการส่งของ PCI แบบเดิมที่จะส่งข้อมูลเพียงทางเดียวเท่านั้น
ที่มา http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/pci/
2.การ์ดเครือข่าย (Network Adapter) หรือ การ์ด LAN
เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกันแต่หากซื้อพร้อมๆกันก็แนะนำให้ซื้อรุ่นและยีห้อเดียวกันจะดีกว่าและควรเป็น การ์ดแบบ PCI เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ ISAและเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆมักจะไม่มี Slot ISA ควรเป็นการ์ดที่มีความเร็วเป็น 100 Mbpsซึ่งจะมีราคามากกว่าการ์ดแบบ 10 Mbps ไม่มากนัก แต่ส่งขอมูลได้เร็วกว่า นอกจากนี้คุณควรคำหนึงถึงขั้วต่อหรือคอนเน็กเตอร์ของการ์ดด้วยโดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์ ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบ เช่น BNC , RJ-45 เป็นต้น ซึ่งคอนเน็กเตอร์แต่ละแบบก็จะใช้สายที่แตกต่างกัน
ที่มา https://sites.google.com/site/chatwimol41023/home/kard-kherux-khay-network-adapter-hrux-kard-lan
3. HDMI คืออะไร
HDMI เป็นระบบการเชื่อมต่อ (สายสัญญาณและช่องต่อ) ภาพและเสียงแบบใหม่ครับ ย่อมาจากคำว่า
High Definition Multimedia Interface โดย HDMI จะเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอลไว้ในสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ไม่ต้องต่อหลายสายหลายเส้นให้ยุ่งยาก ให้ความคมชัดของภาพ มีความละเอียด และให้เสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทุกวันนี้ HDMI ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายกับ พลาสม่าทีวี แอลซีดีทีวี TrueVisions HD Home Theatre เครื่องเล่นดีวีดี ฯลฯ
แล้ว HDMI มันดีกว่าสายประเภทอื่นๆอย่างไร??? ง่ายๆเลยนะครับ ผมจะเรียงลำดับคุณภาพของสายสัญญาณจากคุณภาพ ต่ำไปหา สูง ดังนี้ครับ
1. สาย RF ที่ต่อจากสายอากาศทีวีบ้านธรรมดานี่แหละครับ ส่งสัญญาณภาพและเสียง
2. สาย Composite หรือ ที่เราเรียกว่าสาย AV นั้นเอง(ไอ้ขาวเหลือแดงนี่แหละครับ) ดีกว่า RF ขึ้นมาหน่อย คือแยกสัญญาณภาพเป็นหนึ่งสาย (เหลือง) และสัญญาณเสียงสองสาย (ขาว แดง) ช่วงวิดีโอ บูมๆ สายขาวเหลิองแดงนี่น่าจะถือว่าดีที่สุดในสมัยนั้น
3. สาย S-video จะดีกว่า AV ขาวเหลืองแดงมาอีกระดับนึงเนื่องจากจะสามารถแยกสัญญาณ สี และ แสง ได้
4. สาย Component เกิดขึ้นมาในยุคดีวีดีฟีเวอร์ครับ มีสามสายครับ เป็นสายสัญญาณแยกสี RGB (แดง เขียว ฟ้า) ซึ่งให้ความคมชัดในระดับสูงมาก โดยเฉพาะเรื่องสีสัน สายแพงๆ นี่หลายพันเลย
5.ส่วนสายที่จัดได้ว่ามีคุณภาพดีที่สุดในปัจจุบันก็คือคือสาย HDMI จะเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอลแบบไว้ในสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ที่กล่าวถึงมาข้างต้นนี่เอง
ที่มา http://www.newsatellitethailand.in.th/webboard_1336882_44043_th?lang=th
4. BLUETOOTH คือ ระบบสื่อสารของอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคแบบสองทาง ด้วยคลื่นวิทยุระยะสั้น (Short-Range Radio Links) โดยปราศจากการใช้สายเคเบิ้ล หรือ สายสัญญาณเชื่อมต่อ และไม่จำเป็นจะต้องใช้การเดินทางแบบเส้นตรงเหมือนกับอินฟราเรด ซึ่งถือว่าเพิ่มความสะดวกมากกว่าการเชื่อมต่อแบบอินฟราเรด ที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์มือถือ กับอุปกรณ์ ในโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นก่อนๆ และในการวิจัย ไม่ได้มุ่งเฉพาะการส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังศึกษาถึงการส่งข้อมูลที่เป็นเสียง เพื่อใช้สำหรับ Headset บนโทรศัพท์มือถือด้วยเทคโนโลยี บลูทูธ เป็นเทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบไร้สายที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องความสะดวกในการใช้งานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจาก เทคโนโลยี บลูทูธ มีราคาถูก ใช้พลังงานน้อย และใช้เทคโนโลยี short – range ซึ่งในอนาคต จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนา เพื่อนำไปสู่การแทนที่อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้สาย เคเบิล เช่น Headset สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น ฺิิิ เทคโนโลยีการเชื่อมโยงหรือการสื่อสารแบบใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้น เป็นเทคโนโลยีของอินเตอร์เฟซทางคลื่นวิทยุ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสื่อสารระยะใกล้ที่ปลอดภัยผ่านช่องสัญญาณความถี่ 2.4 Ghz โดยที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดข้อจำกัดของการใช้สายเคเบิลในการเชื่อมโยงโดยมีความเร็วในการเชื่อมโยงสูงสุดที่ 1 mbp ระยะครอบคลุม 10 เมตร เทคโนโลยีการส่งคลื่นวิทยุของบลูทูธจะใช้การกระโดดเปลี่ยนความถี่ (Frequency hop) เพราะว่าเทคโนโลยีนี้เหมาะที่จะใช้กับการส่งคลื่นวิทยุที่มีกำลังส่งต่ำและราคาถูก โดยจะแบ่งออกเป็นหลายช่องความถึ่ขนาดเล็ก ในระหว่างที่มีการเปลี่ยนช่องความถึ่ที่ไม่แน่นอนทำให้สามารถหลีกหนีสัญญานรบกวนที่เข้ามาแทรกแซงได้ ซึ่งอุปกรณ์ที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยีบลูทูธ ต้องผ่านการทดสอบจาก Bluetooth SIG (Special Interest Group) เสียก่อนเพื่อยืนยันว่ามันสามารถที่จะทำงานร่วมกับอุปกรณ์บลูทูธตัวอื่นๆ และอินเตอร์เน็ตได้
ที่มา https://sites.google.com/site/kruchatchawalthoen/blu-thuth-khux-xari
5.แอร์คาร์ด (AirCard) คือ อุปกรณ์โมเด็มอย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ (Desktop หรือ Labtop) ของเราเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายความเร็วสูงโดยผ่านโครงข่ายสัญญาณ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งในขณะที่เราเชื่อมต่อเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตไปแล้วยังสามารถใช้โทรศัพท์ โทร.เข้า-ออกได้ในเวลาเดียวกัน เพราะระบบมีการใช้ช่องสัญญาณคนละช่องสัญญาณกัน แต่ใช้ Cellsite เดียวกัน หรือทำหน้าที่เป็นแฟ็กซ์ไร้สายได้ด้วย ดังนั้นไม่ว่าเราจะนั่งรถ ลงเรือ หรืออยู่ที่ไหนขอมีเพียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือก็ใช้งานได้ทั้งนั้น
ความแตกต่างระหว่าง AirCard กับ ระบบ Wi-Fi
Wi-Fi คือคุณสมบัติอันหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใดๆ ก็ได้แบบไร้สาย (Wireless LAN) ในระยะห่างไม่เกิน 100 เมตรจากตัวแม่ข่ายของ Wi-Fiนั้นๆ หากไม่มีตัวแม่ข่ายการสื่อสารข้อมูลก็จะทำไม่ได้
AirCard คือ โมเด็มอย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่โลกอินเทอร์ เน็ตแบบไร้สาย โดยใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีการเชื่อมสัญญาณเข้ากับ Cellsite ของเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ทำให้เล่นเน็ตที่ไหนก็ได้ที่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
ที่มา http://smartcompz.blogspot.com/2011/04/blog-post_2763.html
6. PDA คืออะไร
PDA ย่อมาจาก Personal Digital Assistant คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการจดบันทึก , เก็บข้อมูล , เตือนเวลานัดหมาย หรือ จัดการงานต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมไปถึงความสามารถของการเพิ่มเติมแอพพลิเคชั่น เพื่อให้ใช้งานด้านอื่นๆได้ สามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเลยทีเดียว เช่น การทำ เอกสาร Word, Excel หรือแม้กระทั่งการใช้งานอินเตอร์เน็ต (Internet ) ในการเล่นเว็บ หรือการรับ-ส่ง E-Mail และอีกอย่างที่สำคัญคือสามารถทำงานด้านมัลติมีเดีย เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ได้อีกด้วย
PDA นั้นสามารถแยกออกมาได้อีกหลายประเภท ตามลักษณะของการใช้งานและระบบปฏิบัติการที่ถูกติดตั้งอยู่ในเครื่อง PDA นั้นๆ ซึ่งหลักๆที่เรารู้จักกันก็จะมี PDA ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Palm OS หรือที่เรียกว่า Palm และ PDA ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows Mobile หรือที่เรียกกันว่า Pocket PC นั่นเอง นอกจากนี้แล้ว ยังมี PDA phone ซึ่งเป็น PDA ที่สามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น